Health

  • แผลในปาก มีอาการแบบไหน เป็นแล้วรักษาอย่างไร
    แผลในปาก มีอาการแบบไหน เป็นแล้วรักษาอย่างไร

    แผลในปาก เป็นอาการที่พบได้ทั่วไป เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อย่างการกัดริมฝีปาก แผลจากรับประทานของร้อน โรคเชื้อราในปาก หรือแม้แต่การละเลยสุขอนามัยในช่องปาก การเกิดแผลด้านในปากอาจทำให้รู้สึกระคายเคือง เมื่อรับประทานอาหารรสจัดและรู้สึกเจ็บขณะแปรงฟัน เคี้ยวอาหาร โดยปกติแผลในปากสามารถหายได้เอง แต่การใช้ยาร่วมกับการดูแลตนเองก็จะช่วยให้แผลสมานได้เร็วขึ้น

    แผลในปาก มีอาการอย่างไร

    แผลในปากอาจเกิดขึ้นเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดพร้อมกันได้จะรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการแปรงฟันและการเคี้ยวอาหาร โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารรสจัดหรือของร้อน

    นอกจากนี้ ลักษณะอาการของแผลในปากอาจแบ่งได้ตามขนาดและชนิด ดังนี้

    • แผลขนาดเล็กเป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด โดยแผลจะมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรีขนาดเล็ก สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
    • แผลขนาดใหญ่มักพบได้น้อย มีลักษณะเป็นวงกลมและวงรีขนาดใหญ่และลึกกว่าแผลขนาดเล็ก ขอบแผลชัดแต่เมื่อแผลมีขนาดใหญ่มากขอบของแผลอาจมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บมากโดยอาจใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ในการรักษาและอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้
    • แผลเฮอร์ปิติฟอร์ม (Herpetiform) เป็นแผลที่พบได้ยาก ขนาดเล็กแต่มีจำนวนมากซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 10-100 จุด และอาจขยายรวมกันจนกลายเป็นแผลใหญ่แผลเดียว มีลักษณะขอบแผลที่ไม่แน่นอนสามารถหายได้ใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น โดยแผลชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเริม

    อย่างไรก็ตาม หากเกิดอาการต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์  เป็นแผลขนาดใหญ่ผิดปกติ มีแผลเกิดใหม่ในขณะที่แผลเก่ายังไม่หาย และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3  สัปดาห์ เมื่อสัมผัสแล้วไม่รู้สึกเจ็บ มีแผลเกิดขึ้นบริเวณริมฝีปาก ยาหรือการดูแลด้วยตนเองเบื้องต้นไม่สามารถบรรเทาอาการปวดได้ มีปัญหาในการดื่มน้ำอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถรับประทานอาหารได้ มีไข้สูงหรือท้องเสียร่วมกับเกิดแผลในปาก

    สาเหตุของแผลในปาก

    ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดแผลในปากได้อย่างแน่ชัด แต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดแผลได้ ดังนี้

    • การระคายเคืองในช่องปาก อาจเกิดจากการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นการแปรงฟันแรงเกินไป การเสียดสีกับลวดจัดฟัน แผลจากอุบัติเหตุ แผลจากทันตกรรม กัดปากหรือกระพุ้งแก้ม การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่ผสมสารเพิ่มฟอง (Sodium lauryl sulfate) อาการไวต่ออาหารบางชนิด อย่างถั่ว ไข่ ช็อกโกแลต กาแฟ หรืออาหารรสจัดและอาหารที่มีกรด
    • การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์อาจส่งผลให้เกิดแผลได้ เช่น การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิค วิตามินบี 6 และ 12 การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในช่วงรอบเดือน พักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด เป็นต้น
    • เชื้อโรคในช่องปาก เชื้อโรคในช่องปากและโรคจากการติดเชื้ออาจส่งผลให้เกิดแผลได้ อย่างเชื้อเอชไพโลไร(Helicobacter pylori) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันที่ทำให้เกิดแผลในทางเดินอาหาร โรคเริม เชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ โรคเชื้อราในปาก หรืออาจเกิดจากการแพ้เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อราภายในช่องปาก นอกจากนี้ การละเลยการดูแลช่องปากก็อาจเป็นสาเหตุของแผลในช่องปากได้
    • เกิดจากโรคและสุขภาวะ แผลในปากอาจเป็นสัญญาณหรืออาการของโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคเซลิแอค(Celiac disease) หรือโรคแพ้กลูเตน โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคเบเซ็ท (Behcet’s disease) หรือโรคหลอดเลือดอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง โรคมะเร็งช่องปาก เป็นต้น

    นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นอาจเกิดอาการแผลในช่องปากได้บ่อยกว่าคนกลุ่มอื่น โดยจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แผลในปากนั้นอาจส่งต่อผ่านทางพันธุกรรมหรือเกิดจากปัจจัยร่วมในครอบครัว อย่างสภาพแวดล้อมหรืออาหารที่รับประทานร่วมกันในครัวเรือน

    การรักษาแผลในปาก

    แพทย์อาจวินิจฉัยแผลในปากด้วยการสังเกตรอยแผลเท่านั้น แต่หากอาการอยู่ในขั้นรุนแรงอาจใช้วิธีอื่นๆ ตรวจสอบตามดุลยพินิจของแพทย์ สามารถหายได้เองเมื่อผ่านไปสักระยะ แต่การใช้ยาและการรักษาด้วยตนเองก็อาจช่วยให้อาการแผลหายได้เร็วขึ้น โดยวิธีที่อาจใช้ในการรักษามี ดังนี้

    รักษาด้วยตนเอง การรักษาแผลในปากด้วยตนเองสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    • รักษาความสะอาดภายในช่องปากอยู่เสมอ
    • รับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดโฟลิค สังกะสี วิตามินบี 6 และ 12
    • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำอุ่นผสมเบกกิ้งโซดา
    • ประคบน้ำแข็ง โดยนำก้อนน้ำแข็งวางบริเวณแผลภายในปากอย่างเบามือ
    • ประคบแผลด้วยถุงชาหมาดๆ
    • รักษาด้วยสมุนไพร อย่างชาคาโมมายล์ เอ็กไคนาเซีย (Echinacea) มดยอบ และรากชะเอมเทศที่มีสรรพคุณทางยา

    รักษาด้วยยาและอาหารเสริม การใช้ยาและอาหารเสริมเพื่อรักษาแผลในปาก ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนการใช้ยาและอาหารเสริม ซึ่งการรักษาด้วยยาและอาหารเสริมที่อาจช่วยบรรเทาอาการแผลปากอาจมี ดังนี้

    • รับประทานยาแก้ปวด อย่างพาราเซตามอล
    • ใช้ยาเฉพาะจุดที่มีส่วนประกอบอย่างเบนโซเคน (Benzocaine) ฟลูโอซิโนโลน (Fluocinonide) และไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide)
    • บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์อาจช่วยลดอาการปวดบวมได้
    • ทาแผลด้วยมิลค์ออฟแมกนีเซียม(Milk of magnesia) หรือยาที่ใช้ลดกรด และช่วยเรื่องการขับถ่าย
    • รับประทานอาหารเสริม อย่างกรดโฟลิค สังกะสี วิตามินบี 6 และ 12

    อย่างไรก็ตาม เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยา อาหารเสริม รวมถึงการรักษาด้วยตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตราย นอกจากนี้ ยังควรแปรงฟันอย่างเบามือและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดเพื่อช่วยให้แผลในปากหายได้เร็วขึ้น

    ภาวะแทรกซ้อนและการป้องกันแผลในปาก

    แผลในปากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เบื่ออาหาร เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) การติดเชื้อในช่องปาก และโรคมะเร็งช่องปาก เป็นต้น นอกจากนี้ การสัมผัสกับแผลอาจเป็นการกระจายเชื้อของโรคติดต่อ

    นื่องจากสาเหตุในการเกิดแผลนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด จึงอาจไม่สามารถป้องกันได้ แต่อาจลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดแผลได้ ดังนี้

    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานที่อาหารร้อนจัด และรับประทานอาหารรสจัดแต่พอดี
    • แปรงฟันอย่างเบามือ
    • ระมัดระวังขณะเคี้ยวอาหาร
    • รักษาความสะอาดช่องปากอยู่เสมอ
    • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • ทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด

    แผลในปาก

    ลักษณะแผลในปากชนิดต่างๆ

    • แผลที่เกิดจากการระคายเคืองของกระพุ้งแก้มและลิ้น

    สาเหตุของการระคายเคืองเกิดการกระแทกจนเกิดแผลในปาก ซึ่งอาจเกิดจากการที่มีขอบฟันคม ฟันสึก ฟันผุมาก วัสดุอุดหลุด ฟันแตก ฟันบิ่น ฟันปลอมที่ขอบไม่เรียบ รวมถึงเครื่องมือจัดฟันทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกบริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้น เป็นรอยถลอก หรือเป็นแผลได้

    ฟันที่ขึ้นผิดปกติโดยเฉพาะฟันกรามบนซี่สุดท้าย ฟันที่ขึ้นซ้อนเกเวลากัดจะกระแทกกระพุ้งแก้มทำให้เกิดแผลแผลในปากได้ การเคี้ยวอาหารพลาดไปกัดกระพุ้งแก้ม ลิ้น หรือริมฝีปาก รวมถึงการใส่ฟันปลอมที่หลวมหรือไม่พอดี เคี้ยวแล้วเจ็บเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของแผลในช่องปากที่พบได้บ่อย

    ลักษณะของแผล

    ลักษณะเป็นแผลแผลในปากเฉพาะที่ตรงบริเวณที่ได้รับการกระแทก หรือระคายเคือง โดยปกติแผลควรจะหายภายใน 1 สัปดาห์ภายหลังที่กำจัดหรือแก้ไขสาเหตุแล้ว

    การรักษา

    การรักษาแผลชนิดนี้ทำได้โดยการกำจัดหรือแก้ไขสาเหตุ ร่วมกับการอมน้ำเกลืออุ่นๆวันละหลายๆครั้ง ในรายที่เป็นรุนแรงแผลมีขนาดใหญ่เจ็บมาก จำเป็นต้องใช้ยาทาเฉพาะที่ซึ่งมีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติในการปิดแผล ไม่ให้ถูกระคายเคืองและช่วยลดการอักเสบของแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นรวมทั้งบรรเทาอาการเจ็บแผลด้วย

    • แผลในปากเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (เริม)

    เรียกกันทั่วๆไปว่า “เริม” พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ที่เป็นในเด็กจะเป็นการติดเชื้อไวรัสนี้ครั้งแรก หลังจากหายแล้วจะเป็นซ้ำได้อีกบ่อยๆ แต่อาการจะรุนแรงน้อยกว่า

    การติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ครั้งแรกที่พบในเด็กในระยะเริ่มแรก จะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดมีไข้อ่อนเพลียในปากจะมีอาการเจ็บประมาณ 1-2 วัน หลังจากนั้นจะมีตุ่มน้ำใสเล็กๆอยู่เป็นกลุ่ม กระจายอยู่ทั่วไปในปาก ได้แก่ กระพุ้งแก้ม ลิ้น เพดานเหงือก หลังจากนั้นตุ่มน้ำใสจะแตกออกเป็นแผลมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไม่แน่นอน มีอาการเจ็บมาก ทำให้รับประทานอาหารไม่ได้ น้ำลายออกมากกว่าปกติ แผลจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์

    การรักษา

    แผลติดเชื้อไวรัส เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์หรือ เริม โดยธรรมชาติจะหายได้เองภายใน 10-14 วันการรักษาส่วนใหญ่ เป็นการรักษาตามอาการ โดยให้ยาลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารอ่อน พักผ่อนให้เพียงพอ อาจให้ยาอมบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาชา เพื่อช่วยลดอาการเจ็บ ช่วยให้ปากสบายขึ้น ดูแลรักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี แผลจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายได้เอง

    ถ้าหากอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องให้ยาต้านเชื้อไวรัส ซึ่งจะต้องให้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่เป็น จะได้ผลดี สำหรับแผลเริมนั้นมีโอกาสที่จะเป็นซ้ำได้ ถ้าหากร่างกายอยู่ในภาวะอ่อนแอ พักผ่อนไม่พอ เป็นไข้หวัด ขาดอาหาร มีความเครียด ถูกแสงแดดจัดๆ หรือลมทะเล เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ซ้ำใหม่ได้อีก

    • แผลร้อนใน

    พบได้บ่อยเป็นแผลที่เป็นๆหายๆ เป็นประจำพบได้ในคนทุกอายุทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดแต่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ มีการระคายเคือง การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิงซึ่งพบว่ามักจะเป็นแผลชนิดนี้ช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน

    นอกจากนี้ ความเครียดความกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุซึ่งพบได้บ่อยในเด็กนักเรียนระยะใกล้สอบ หรือในกลุ่มผู้บริหารนักธุรกิจซึ่งมักจะมีความเครียดความกังวลสูง

    การขาดสารอาหารได้แก่วิตามิน บี 12 (โฟลิกแอซิด) หรือภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กโรคของระบบทางเดินอาหารพบว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลชนิดนี้ได้

    ลักษณะของแผล

    ลักษณะของแผลชนิดนี้มีได้แตกต่างกัน อาจพบเป็นเพียงแผลเดี่ยวๆ หรือ 2-3 แผล มีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร จะเป็นอยู่ประมาณ 7-10 วันแผลจะหายได้เองโดยไม่มีแผลเป็น และจะเป็นใหม่ซ้ำอีกเป็นประจำ

    อีกลักษณะหนึ่งจะพบเป็นแผลขนาดใหญ่ (มากกว่า 1 เซนติเมตร) แผลจะลึกกว่าแบบแรกและมีอาการเจ็บรุนแรงมากกว่าเป็นอยู่นานกว่า 2-3 สัปดาห์ หรือบางรายอาจจะเป็นเดือน หลังจากแผลหายแล้ว จะมีแผลเป็น

    นอกจากนี้อาจจะเป็นแผลขนาดเล็กเหมือนกับแบบแรกแต่จะมีจำนวนมากกว่าประมาณ 10 แผลขึ้นไปในการเป็นแต่ละครั้ง แผลชนิดนี้ส่วนใหญ่พบที่บริเวณกระพุ้งแก้ม พื้นช่องปากด้านข้างลิ้น หรือใต้ลิ้นริมฝีปากด้านใน ลักษณะของแผลในระยะเริ่มแรกจะเป็นจุดแดงขึ้นมาก่อนประมาณ 1-2 วัน และต่อมาจะกลายเป็นแผลซึ่งจะมีอาการเจ็บมากในช่วง 2-3 วันแรก ทำให้รับประทานอาหารลำบาก โดยเฉพาะแบบที่แผลมีขนาดใหญ่หลังจากนั้นอาการเจ็บจะทุเลาลงแผลชนิดนี้หลังจากหายแล้วมีโอกาสที่จะเกิดซ้ำเป็นใหม่ได้อีก

    การรักษา

    ส่วนใหญ่เป็นการลดการอักเสบ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วงระยะเวลาที่เป็นสั้นลง และการเกิดเป็นซ้ำห่างออกไป ในกรณีที่เกิดจากการขาดสารอาหารพวกวิตามิน บี 12 การให้สารอาหารนี้จะช่วยลดความรุนแรงของอาการเจ็บ จำนวนแผลระยะเวลาการหายและความถี่ของการเกิดแผลใหม่ซ้ำอีก

    • แผลติดเชื้อราแคนดิดา

    ลักษณะของแผลติดเชื้อราแคนดิดามีได้ถึง 4 รูปแบบ คือ

    แบบที่ 1 พบเป็นแผลอักเสบ แต่มีฝ้าขาวเช็ดออกได้ปกคลุมอยู่ กระจายอยู่ทั่วไปในช่องปาก แผลชนิดนี้พบบ่อยในเด็กทารก หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาพวกสเตียรอยด์ทั้งในรูปของการทาเฉพาะที่หรือรับประทาน ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บไม่มากรู้สึกสากๆ ในปากรับประทานอาหารไม่รู้รส

    แบบที่ 2 มีการอักเสบเป็นรอยแดงจัด พบที่บริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้น เพดาน มีอาการปวดแสบปวดร้อนและเจ็บร่วมด้วย โดยเฉพาะที่ลิ้น ทำให้รับประทานอาหารไม่ได้พบในผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อ

    แบบที่ 3 พบในผู้ที่ใส่ฟันปลอมบนตลอดเวลา แม้เวลานอน จะพบมีการติดเชื้อราแคนดิดาที่เยื่อเมือกเพดานส่วนที่รองรับฐานของฟันปลอมทั้งหมด มีลักษณะเป็นการอักเสบสีแดงจัด บวม ไม่เจ็บ ในรายที่เป็นมานานอาจพบมีเนื้องอกหรือการโตขึ้นของเยื่อเมือกเพดาน

    แบบที่ 4 ลักษณะเป็นฝ้าขาวหนาตัวขึ้นมา เช็ดไม่ออก พบที่บริเวณกระพุ้งแก้มใกล้มุมปาก หรือลิ้นด้านบน แผลชนิดนี้บางครั้งอาจพบมีการอักเสบแดงร่วมด้วย มีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อน

    การรักษา

    การให้การรักษาการติดเชื้อราแคนดิดา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน จำเป็นจะต้องให้ยาต้านเชื้อรา ซึ่งมีทั้งที่เป็นแบบยาน้ำอมกลั้วในปากให้ทั่ว หรือยาชนิดเม็ดใช้อมให้ฟู่ในช่องปาก หรือเป็นยารับประทาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง

    ซึ่งทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่า ควรใช้ในรูปแบบใด รวมทั้งการใช้น้ำยาอมบ้วนปากร่วมด้วย ในกรณีที่ใส่ฟันปลอมจำเป็นต้องกำจัดเชื้อราที่ฟันปลอมด้วย โดยต้องถอดฟันปลอมออกแช่น้ำยาฆ่าเชื้อ ส่วนใหญ่แล้วยาต้านเชื้อราให้ผลในการรักษาดี โดยทั่วไปควรจะหายเป็นปกติภายในสองสัปดาห์

    • แผลไลเคนพลานัส

    แผลในปากอีกชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ค่อนข้างบ่อย มักพบในผู้ใหญ่วัยกลางคนเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าไลเคน พลานัส ซึ่งจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน เจ็บในปาก ทำให้รับประทานอาหารโดยเฉพาะพวกรสจัดรสเผ็ดไม่ได้ เป็นเรื้อรัง

    แผลชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นรอยอักเสบแดงและล้อมรอบด้วยเส้นลายขาวๆตรงกลาง เป็นแผลสีเหลืองปนเทา พบที่บริเวณกระพุงแก้มบริเวณฟันกราม หลังที่รอยต่อระหว่างเหงือกและกระพุ้งแก้ม ที่ด้านข้างของลิ้นเพดานเหงือก

    สาเหตุของแผลชนิดนี้ไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาใช้รักษาความดันโลหิตสูงบางตัว มีผลทำให้เกิดรอยโรคนี้ได้ นอกจากนี้พบว่าความเครียดความวิตกกังวลมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดแผลชนิดนี้ และมีความรุนแรงมากขึ้นได้ ไลเคนพลานัส เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งจะมีรอยโรคทั้งที่ผิวหนังและในช่องปาก หรืออาจจะพบเฉพาะที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียวก็ได้

    อาการแบบไหนเสี่ยงมะเร็งในช่องปาก

    นอกจากการเป็นแผลเรื้อรังในช่องปากแล้ว หากสังเกตว่ามีฝ้าขาวๆ หรือแดง ที่เยื่อบุในช่องปาก มีตุ่มหรือก้อนโดยขนาดของก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คลำพบก้อนบริเวณลำคอ แต่กดแล้วไม่เจ็บ มีอาการฟันโยกหรือฟันหลุด มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวหรือการกลืนอาหาร หรือมีเลือดออกผิดปกติในช่องปาก อาการเหล่านี้ คือสัญญาณเตือนว่าคุณอาจกำลังเป็นมะเร็งในช่องปาก

     

    แผลในปากที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ก็คือมะเร็งในช่องปาก ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าหากได้รับการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าปล่อยไว้จนแผลนั้นลุกลามมากขึ้นทำให้การรักษายุ่งยาก และบางครั้งสายเกินไปที่จะให้การรักษาได้ มะเร็งในช่องปากบางชนิด เริ่มจากการเป็นแผลจากการระคายเคือง แต่ไม่ได้รับการกำจัดสาเหตุและรักษา ปล่อยไว้จนกลายเป็นเนื้อร้าย มะเร็งในระยะแรกอาจไม่มีอาการเจ็บ ทำให้ผู้ป่วยละเลย ดังนั้น เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรจะรีบพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย การดูแลสุขภาพในช่องปากให้ดีอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญ การพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เป็นเรื่องจำเป็นซึ่งจะช่วยให้ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติได้

     

    เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ที่มาของบทความ

     

    ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  gmgwash.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • ธนาคารอังกฤษคืออะไรและเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย
    ธนาคารอังกฤษคืออะไรและเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย

    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษคืออะไรและเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคม ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลักจาก 4.25% เป็น 4.5% เนื่องจากยังคงพยายามควบคุมราคาที่สูงขึ้น

    นับเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นครั้งที่ 12 นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564

    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษคืออะไร?

    ธนาคารแห่งอังกฤษเป็นธนาคารกลางของสหราชอาณาจักร เป็นอิสระจากรัฐบาล

    โดยอธิบายถึงหน้าที่หลักในการทำให้สหราชอาณาจักรมีธนบัตรที่ปลอดภัย ราคาที่มีเสถียรภาพ ภาคการธนาคารที่ปลอดภัย และระบบการเงินที่ยืดหยุ่น

    ทำไมธนาคารแห่งประเทศอังกฤษจึงเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย?
    ธนาคารมีเป้าหมายที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นมาตรวัดอย่างเป็นทางการว่าราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงใด อยู่ที่ 2%

    อัตราเงินเฟ้อ CPI ทั่วไปลดลงจากระดับสูงสุดที่ 11.1% ในเดือนตุลาคม 2565 แต่ในเดือนพฤษภาคม 2566 อัตรานี้อยู่ที่ 8.7% ซึ่งยังคงมากกว่าเป้าหมายถึงสี่เท่า

    แต่อัตราเงินเฟ้อ “พื้นฐาน” ซึ่งไม่รวมราคาพลังงาน อาหาร แอลกอฮอล์ และยาสูบ เพิ่มขึ้นเป็น 7.1% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 6.8% ในเดือนเมษายนและเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2535

    การตอบสนองแบบดั้งเดิมของธนาคารต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นคือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการของสหราชอาณาจักร

    สิ่งนี้มีอิทธิพลต่ออัตราการออมและการกู้ยืมที่เรียกเก็บโดยธนาคารชั้นนำสำหรับบุคคลและธุรกิจ

    ในเดือนพฤษภาคม ธนาคารขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 12 ติดต่อกัน โดยเพิ่มเป็น 4.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 15 ปี

    การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจหมายถึงผู้คนมีแนวโน้มที่จะออมเงินมากขึ้นและมีโอกาสกู้ยืมน้อยลง

    ในทางทฤษฎี หมายความว่าพวกเขาจะซื้อของน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องจ่ายมากขึ้นสำหรับสิ่งต่างๆ เช่น การจำนอง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

    นอกจากนี้ยังทำให้บริษัทกู้ยืมเงินและขยายธุรกิจได้ยากขึ้น

    อีกทางหนึ่ง หากธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ย แรงจูงใจในการออมเงินก็จะน้อยลงและการกู้ยืมก็จะยิ่งถูกลง

    สิ่งนี้สามารถกระตุ้นให้ธุรกิจกู้ยืมและผู้คนออกไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจ

    อัตราดอกเบี้ยของสหราชอาณาจักร: พวกเขาจะไปได้สูงแค่ไหน?

    ทำไมราคาถึงเพิ่มขึ้นมาก?
    ทำไมอัตราเงินเฟ้อลดลง แต่ราคายังคงเพิ่มขึ้น
    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอย่างไร?
    คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารมีการประชุมแปดครั้งต่อปีเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย

    หลังจากการประชุมเบื้องต้นหลายครั้ง สมาชิกเก้าคนของคณะกรรมการจะลงมติว่าจะเพิ่ม ลด หรือคงอัตราดอกเบี้ย และจะมีการเผยแพร่การตัดสินใจโดยรวมของพวกเขาในเวลาเที่ยงวัน

    มีการเผยแพร่รายงานการประชุมที่มีการตัดสินใจด้วย

    ธนาคารยังเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินปีละสี่ครั้ง ซึ่งกำหนดการวิเคราะห์เศรษฐกิจและประมาณการเงินเฟ้อที่คณะกรรมการนโยบายการเงินใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย

    ธนาคารอังกฤษคืออะไรและเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยธนาคารทำอะไรอีกบ้าง?

    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษยังซื้อและขายพันธบัตรรัฐบาล

    พันธบัตรเป็นเหมือน “ฉันเป็นหนี้คุณ” จากรัฐบาลซึ่งใช้พวกเขาในการหาเงินเพื่อช่วยให้เป็นไปตามข้อผูกพันในการใช้จ่าย

    ในช่วงวิกฤตการเงินปี 2552 จนถึงปี 2564 ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษได้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 875 พันล้านปอนด์ สิ่งนี้ทำผ่านกระบวนการที่เรียกว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลโดยรวม ลดอัตราดอกเบี้ย และกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ

    ธนาคารยังประกาศโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินเพื่อพยายามรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจหลังจากที่งบประมาณขนาดเล็กในเดือนกันยายน 2565 ทำให้เกิดความวุ่นวายในตลาดการเงิน

    เมื่อการแทรกแซงดังกล่าวสิ้นสุดลง ธนาคารกล่าวว่าจะดำเนินการตามแผนซึ่งประกาศครั้งแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 เพื่อขายพันธบัตรรัฐบาลบางส่วนที่ถืออยู่

    ธนาคารมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรอีกบ้าง?

    ธนาคารยัง:

    ผลิตธนบัตรและดูแลการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
    ควบคุมธนาคารและสมาคมอาคาร
    ตรวจสอบความเสี่ยงในระบบการเงินของสหราชอาณาจักรและดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยง เช่น การให้กู้ยืมแก่ธนาคารหากต้องการ มันแบ่งปันความรับผิดชอบในเรื่องนี้กับกระทรวงการคลังและหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงิน Financial Conduct Authority
    เก็บสำรองทองคำของสหราชอาณาจักร – 400,000 แท่งมูลค่ามากกว่า 200 พันล้านปอนด์ – เช่นเดียวกับธนาคารกลางอื่น ๆ

    ใครเป็นผู้รับผิดชอบธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ?

    แอนดรูว์ เบลีย์เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการในปี 2562 โดยทำงานที่ธนาคารมากว่า 30 ปี

    เขาเป็นหัวหน้าแคชเชียร์ของธนาคารตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2547 จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 ซึ่งหมายความว่าลายเซ็นของเขาปรากฏบนธนบัตรหลายพันล้านใบในสหราชอาณาจักร

    นอกจากมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลความรับผิดชอบหลักของธนาคารแล้ว ผู้ว่าการยังเป็นประธานคณะกรรมการสำคัญ 3 ชุดที่จะช่วยให้ธนาคารทำงานไปสู่เป้าหมาย ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา

    บุสเก็ตส์ กล่าวยกย่อง ‘เป๊ป’ เป็นโค้ชที่ดีที่สุด

    รีวิวภาพยนต์เรื่อง The Magic Flute – ขลุ่ยวิเศษ

    เลือดกำเดาไหล ในเด็กหายได้เองเมื่อโตขึ้น

    Clean Snatch Dead Island 2 How to Beat

    9 เหตุผลว่าทำไมกาแฟ (ในปริมาณที่เหมาะสม) ถึงดีสำหรับคุณ

    ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com

    แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business

    สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ gmgwash.com